เมื่อนึกถึงวันเก่าๆ
ในตอนนั้นผมเพิ่งเริ่มเข้าเรียนในมหาวิทยาลัยเชียงใหม่
เรียกว่าเฟรชชี่นั่นแหละ
ผมมีเพื่อนๆที่เข้ามาเรียนที่นี่มาก เรียกว่าน่าจะครบทุกคณะเลยก็ว่าได้
ชีวิตในรั้วมหาวิทยาลัยช่างตื่นเต้น เป็นอิสระ มีเรื่องราวให้สนใจมากมาย
เรื่องของเรื่องมีอยูว่าพี่ชายเพื่อนผมเป็นหมอและเป็นประธานชมรมพุทธฯ
ส่วนเพื่อนผมเป็นเด็กเภสัช มีอยู่วันหนึ่งเพื่อนผมก็ชวนว่า
ที่ชมรมพุทธฯเค้าจัดกิจกรรมไปวัดพระธรรมกายไปถือศีลแปดกันหลายวันสนใจไปด้วยกันไหมฟรีตลอดไม่มีค่าใช้จ่าย ผมได้ยินดังนั้นก็คิดในใจว่า อยากลองของแปลก
อะไรคือศีลแปด การปฏิบัติธรรมเค้าทำกันอย่างไร
ก็เลยไปชวนเพื่อนอีกคนที่เป็นเด็กวิศวะไปด้วยกัน
ซึ่งก็เป็นเรื่องที่แปลกประหลาดอยู่พอสมควร เพราะปกติผมไม่ได้เป็นคนที่รักวัดรักศาสนามากมายอะไร
ที่ไปวัดส่วนใหญ่ก็เพราะคุณพ่อคุณแม่พาไป หรือไปเป็นเพื่อนท่านมากกว่า
รู้แหละว่าคำว่าวัดน่ะเป็นสถานที่ที่ดี คนแก่ชอบไปวัดอะไรประมาณนี้
เด็กวัยรุ่นอย่างเราก็ไม่ได้สนใจอะไรมาก ผมก็เหมือนเด็กทั่วไป แต่ไม่รู้เป็นเพราะอะไรผมจึงรับปากเพื่อนว่าไปแน่นอน
ทั้งๆที่เกิดมาก็ไม่เคยได้ยินชื่อวัดพระธรรมกายเลย
ไม่รู้ว่าอยู่ที่ไหนด้วยซ้ำ
เมื่อเดินทางมาถึงวัดพระธรรมกายพบว่าเป็นสถานที่กว้างขวางมาก มีหลังคาเป็นมุงจาก
ต่อมาทราบว่าเค้าเรียกว่าสภาธรรมกาย
ทุกอย่างเป็นสิ่งที่แปลกใหม่มาก เกิดมาไม่เคยพบเจออะไรแบบนี้ ทุกคนยิ้มแย้มแจ่มใส มีแต่เด็กมหาวิทยาลัยเป็นส่วนมากมาอาสาช่วยงานที่วัด
ผมได้นอนปักกลดที่ทุ่งนาภายในวัดเป็นครั้งแรก บรรยากาศเย็นสบาย ได้เรียนรู้การพูดคำใหม่ๆที่ไม่เคยพูด ได้แก่
คำว่า “อนุโมทนาบุญ สาธุ” ได้หัดถือศีลแปด ได้หัดนั่งสมาธิแบบวิชชาธรรมกาย นั่งกันแบบก้นด้านเลย ทุกคนเงียบ นั่งขัดสมาธิ หลับตา
มีแต่เสียงพระท่านนำนั่งสมาธิ
นอกจากนี้เวลาทานข้าวก็ได้เรียนรู้วิธีใหม่ๆในการล้างภาชนะด้วยตนเอง ทุกที่มีความเป็นระเบียบ
สะอาด แม้แต่การจัดเรียงรองเท้าของเหล่าสาธุชน ทุกสิ่งเป็นอะไรที่เรียบง่าย สงบ
จนทำให้รู้สึกได้ถึงความสุขที่ได้รับ เป็นความสุขที่ไมได้เสียเงินเลย
ความสุขนั้นกลายมาเป็นความประทับใจในการได้มาวัดพระธรรมกาย
ซึ่งเรียกได้ว่าเป็นวัดในฝันของผมเลยทีเดียว และนี่เป็นก้าวแรกที่จุดประกายให้ผมเริ่มสนใจในพระพุทธศาสนาอย่างเป็นเรื่องเป็นราว เกิดความสนใจเองโดยไม่มีใครบังคับ
แต่เนื่องด้วยอยู่ไกลจากที่เรียนมากจึงไม่ได้มาอีก จวบจนกระทั่งต่อมาอีกปี ผมสอบเข้ามหาวิทยาลัยได้ที่
สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี คณะวิศวะ นั่นนับเป็นจุดที่ผมได้มาวัดพระธรรมกายบ่อยขึ้น
จนในที่สุดได้อาสาเข้ามาเป็นกรรมการชมรมพุทธฯ
ทั้งหมดนี้จะเกิดขึ้นไม่ได้เลยถ้าวันนั้นผมไม่รับปากเพื่อนว่าจะไปวัดพระธรรมกาย
ต้องขอขอบคุณเพื่อนคนนั้นมาก (ต่อมาเพื่อนผมที่เรียนเภสัชได้เป็นประธานชมรมพุทธฯต่อจากพี่ชายเค้าที่เรียนหมอที่มหาวิทยาลัยเชียงใหม่) เมื่อมองย้อนไปเรื่องราวผ่านมาเกือบ30ปี ผมคิดอยู่เสมอว่าถ้าในตอนนั้นไม่มีวัดพระธรรมกาย
ชีวิตผมจะเป็นอย่างไร
นับว่าเป็นโชคดีของผม ยิ่งกว่าถูกหวยรางวัลที่หนึ่งด้วยซ้ำไป